แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Penguinin

หน้า: [1]
1
เหล็กตัวซี (C-Channel Steel) เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมในงานก่อสร้างและอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท เนื่องจากมีคุณสมบัติที่แข็งแรงและใช้งานได้หลากหลาย แต่คำถามหนึ่งที่พบบ่อยคือ น้ำหนักเหล็กตัวซีสูงกว่าเหล็กชนิดอื่นจริงหรือไม่?

คุณสมบัติของเหล็กตัวซี
1. ลักษณะเฉพาะของเหล็กตัวซี
เหล็กตัวซีมีลักษณะเป็นรูปตัว "C" ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับแรงและการใช้งานที่ต้องการความแข็งแรงในงานก่อสร้าง เช่น โครงหลังคา เสาค้ำ หรือโครงสร้างที่ต้องการความประหยัดน้ำหนัก
2. วัสดุและกระบวนการผลิต
ผลิตจากเหล็กกล้าที่มีคุณภาพสูง
ผ่านกระบวนการรีดร้อนหรือรีดเย็นเพื่อเพิ่มความแข็งแรง
3. ความหลากหลายของขนาดและน้ำหนัก
เหล็กตัวซีมีขนาดและน้ำหนักที่หลากหลาย เช่น
หน้ากว้าง 75 มม. น้ำหนักประมาณ 6 กก./เมตร
หน้ากว้าง 100 มม. น้ำหนักประมาณ 9 กก./เมตร
น้ำหนักของเหล็กตัวซีเมื่อเทียบกับเหล็กชนิดอื่น
1. เปรียบเทียบกับเหล็กกล่อง (Steel Box)
เหล็กกล่องมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ทำให้น้ำหนักกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ
น้ำหนักของเหล็กกล่องมักสูงกว่าเหล็กตัวซีในขนาดที่เท่ากัน เนื่องจากเหล็กกล่องมีพื้นที่เนื้อเหล็กมากกว่า
2. เปรียบเทียบกับเหล็ก H-Beam และ I-Beam
เหล็ก H-Beam และ I-Beam ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนักมากในงานก่อสร้างขนาดใหญ่
น้ำหนักของ H-Beam และ I-Beam สูงกว่าเหล็กตัวซีอย่างชัดเจน
3. เปรียบเทียบกับเหล็กแผ่นรีด (Steel Plate)
เหล็กแผ่นรีดมีลักษณะบางและแบน น้ำหนักต่อหน่วยพื้นที่น้อยกว่าเหล็กตัวซี
เหตุใดน้ำหนักของเหล็กตัวซีจึงเหมาะสม
1. การออกแบบที่เน้นความประหยัดน้ำหนัก
เหล็กตัวซีถูกออกแบบให้มีน้ำหนักเบาแต่ยังคงความแข็งแรง ทำให้เหมาะสำหรับงานโครงสร้างที่ต้องการลดภาระน้ำหนัก
2. ประสิทธิภาพในการรับแรง
โครงสร้างตัว "C" ช่วยกระจายน้ำหนักและแรงกดได้ดี
น้ำหนักที่ไม่มากเกินไปช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและติดตั้ง
3. ความเหมาะสมกับงานก่อสร้างขนาดกลางและเล็ก
สำหรับงานก่อสร้างที่ไม่ต้องการรับน้ำหนักมาก เช่น โครงหลังคาบ้านพักอาศัย เหล็กตัวซีจึงเป็นตัวเลือกที่ดี

2
เตาอบทำพิซซ่าควรเลือกจากอะไร
การทำพิซซ่าด้วยเตาอบที่มีคุณภาพเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำพิซซ่าที่มีรสชาติอร่อย และมีความกรอบที่ดี ไม่ว่าคุณจะทำพิซซ่าเป็นกิจกรรมสนุกในครอบครัว หรือเปิดร้านพิซซ่าเอง การเลือกเตาที่เหมาะสมสามารถช่วยยกระดับประสบการณ์การทำอาหารของคุณได้
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกเตาอบทำพิซซ่า

1. ประเภทของเตา
การเลือกประเภทของเตามีความสำคัญมาก เพราะแต่ละประเภทของเตามีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันไป ซึ่งเหมาะกับการทำพิซซ่าที่ต่างกัน เช่น:
ไฟฟ้า: เตาไฟฟ้ามักจะใช้งานง่าย มีการควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำและสามารถเลือกโปรแกรมได้หลากหลาย จึงเหมาะสำหรับการทำพิซซ่าที่มีความหลากหลายในการทำ
เแก๊ส: เตาแก๊สมักจะได้รับความนิยมในร้านพิซซ่า เพราะสามารถให้ความร้อนสูงและร้อนเร็ว ทำให้พิซซ่ากรอบได้อย่างรวดเร็ว
ไม้: เตาไม้เป็นที่นิยมในการทำพิซซ่าสไตล์อิตาเลียน มีลักษณะการให้ความร้อนจากไฟไม้โดยตรง ทำให้พิซซ่ามีรสชาติพิเศษ และมีความกรอบแบบดั้งเดิม
2. ขนาดของเตา
ขนาดของเตาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญในการเลือกซื้อเตาทำพิซซ่า หากคุณทำพิซซ่าจำนวนมากในแต่ละครั้ง หรือเปิดร้านพิซซ่า ขนาดเตาที่ใหญ่ขึ้นจะช่วยให้คุณทำงานได้เร็วขึ้น แต่ถ้าคุณแค่ทำพิซซ่าที่บ้านในครอบครัว ขนาดกลางถึงขนาดเล็กก็เพียงพอแล้ว โดยทั่วไปขนาดของเตาพิซซ่ามีหลายขนาด เช่น
เตาขนาดเล็ก: สามารถทำพิซซ่าขนาด 10-12 นิ้ว เหมาะสำหรับครอบครัวเล็กหรือทำพิซซ่าครั้งละไม่มาก
เตาขนาดกลาง: สามารถทำพิซซ่าขนาด 12-14 นิ้ว เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดกลาง
เตาขนาดใหญ่: สามารถทำพิซซ่าขนาด 16 นิ้วขึ้นไป เหมาะสำหรับร้านพิซซ่าหรือครอบครัวที่มีสมาชิกมาก
3. อุณหภูมิและการกระจายความร้อน
อุณหภูมิที่สูงและการกระจายความร้อนอย่างทั่วถึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำพิซซ่าให้กรอบและสุกทั่วถึง เตาที่มีคุณภาพจะสามารถทำความร้อนได้อย่างรวดเร็วและกระจายความร้อนได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้พิซซ่าที่ทำมีรสชาติที่ดีที่สุดและมีผิวกรอบนอกนุ่มใน ควรเลือกเตาที่มีอุณหภูมิสูงถึง 250 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า เพื่อให้สามารถทำพิซซ่าได้ดี
4. ฟังก์ชันการทำงาน
เตาทำพิซซ่าควรมีฟังก์ชันที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ เช่น ระบบลมร้อน (Convection) ที่ช่วยให้การกระจายความร้อนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หรือฟังก์ชันที่สามารถเลือกการตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการอบพิซซ่าโดยเฉพาะ เช่น ฟังก์ชันการอบที่ให้ความร้อนด้านบนและด้านล่าง ซึ่งเหมาะสำหรับพิซซ่าที่มีแป้งกรอบ

3
การขอสินเชื่อซื้อบ้านหลังแรกเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องเตรียมตัวอย่างรอบคอบ เนื่องจากบ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าในอนาคต ดังนั้น ก่อนที่คุณจะไปถึงจุดนั้น เรามาดูขั้นตอนการเตรียมตัวที่สำคัญก่อนขอสินเชื่อกันก่อน โดยเริ่มจากการตรวจสอบความพร้อมทางการเงิน คำนวณรายได้ค่าใช้จ่าย และเลือกโครงการบ้านที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ หลังจากนี้ค่อยดำเนินการขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านที่ต้องการต่อไป

ตรวจสอบความพร้อมทางการเงิน
การตรวจสอบความพร้อมทางการเงินคือขั้นตอนแรกที่คุณควรทำก่อนที่จะตัดสินใจขอสินเชื่อสำหรับซื้อบ้าน การมีความเข้าใจในสภาพการเงินของตนเองจะช่วยให้คุณสามารถวางแผนได้ดียิ่งขึ้น

1. คำนวณรายได้และค่าใช้จ่าย
เริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลรายได้ทั้งจากงานประจำและรายได้เสริม รวมถึงคำนวณค่าใช้จ่ายประจำเดือน เพื่อให้รู้ว่ามีเงินเหลือในแต่ละเดือนเท่าไหร่ที่สามารถนำไปใช้ในการผ่อนชำระสินเชื่อได้ ซึ่งการรู้จักตัวเองดีจะช่วยในการตัดสินใจเลือกวงเงินกู้ที่เหมาะสม

2. ตรวจสอบประวัติเครดิต
การมีประวัติเครดิตที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการขอสินเชื่อ โดยคุณสามารถตรวจสอบประวัติเครดิตของตนเองได้จากหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลเครดิต เพื่อดูว่ามีหนี้สินคงค้างหรือไม่ หากมีปัญหาควรแก้ไขก่อนที่จะไปขอสินเชื่อ

3. เก็บเงินให้พร้อมสำหรับเงินดาวน์
เงินดาวน์บ้านหรือคอนโด เป็นสิ่งที่จำเป็น และถือเป็นขั้นตอนแรก ๆ ที่ต้องเตรียม ก่อนจะเริ่มต้นการซื้อบ้านหรือคอนโด นั่นคือคุณจะต้องมีเงินก้อนส่วนหนึ่งไว้เพื่อดาวน์บ้าน  ยิ่งจ่ายดาวน์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ยอดเงินกู้หรือเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มในภายหลังน้อยลงกว่าเดิม ช่วยให้ผ่อนสบาย และ ลดภาระดอกเบี้ยได้   ดังนั้นเมื่อมีแพลนที่จะซื้อบ้านควรเตรียมเก็บเงินส่วนนี้ไว้ให้พร้อม

เลือกโครงการบ้านที่เหมาะสม



เมื่อคุณมีความพร้อมทางการเงินแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเลือกโครงการบ้านที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ โดยมีหลักการที่ควรพิจารณาดังนี้

1. ทำการสำรวจทำเลที่ตั้ง
ทำเลที่ตั้งมีผลต่อมูลค่าของบ้านในอนาคต ควรเลือกทำเลที่มีศักยภาพการเจริญเติบโต เช่น ใกล้สถานที่ทำงาน โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ

2. พิจารณาขนาดและรูปแบบบ้าน
คุณควรกำหนดความต้องการเกี่ยวกับขนาดและรูปแบบบ้าน เช่น จำนวนห้องนอน ห้องน้ำ และพื้นที่ใช้สอย เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคุณและครอบครัว

3. ตรวจสอบผู้พัฒนาโครงการ
การเลือกโครงการที่มีผู้พัฒนาที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะผู้พัฒนาที่ดีจะมีการรับประกันคุณภาพและการบริการหลังการขายที่ดี

กู้เงินซื้อบ้านด้วยสินเชื่อบ้านที่น่าสนใจ
เมื่อคุณเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว การเลือกสินเชื่อที่จะใช้ในการซื้อบ้านก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยสินเชื่อบ้านใหม่ - บ้านมือสอง จากสินเชื่อบ้านทีทีบี มีข้อเสนอที่น่าสนใจ เช่น
วงเงินอนุมัติสูงสุด 50 ล้านบาท
ผ่อนสบายๆ ได้นานสูงสุด 35 ปี
ฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย - ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์
มีเจ้าหน้าที่ดูแลในทุกโครงการ ดำเนินการให้ลูกค้าทุกอย่างแบบถึงที่ ไม่ต้องไปสาขา
รับส่วนลดพิเศษ กรณีที่กู้ซื้อบ้าน – คอนโด ที่เป็นพันธมัตรพิเศษกับธนาคาร จะได้รับส่วนลดพิเศษเพิ่มจากโปรโมชันปกติ

โดยการกู้เงินควรอยู่ในขอบเขตที่คุณสามารถชำระคืนได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งจะช่วยให้การเงินของคุณไม่เกิดปัญหาในอนาคต นอกจากนี้ การใช้สินเชื่อที่เหมาะสมยังช่วยให้คุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและลดความเสี่ยงจากการเป็นหนี้เกินความสามารถ

 *กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว : สินเชื่อบ้านใหม่-คอนโดใหม่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.939% - 5.949% ต่อปี •สินเชื่อบ้านมือสองอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.563% - 6.648% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน =7.705% ต่อปี ณ วันที่ 1 พ.ย. 67 • อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ • เงื่อนไขการสมัคร และอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

4
การเอาบ้านเข้าธนาคาร หรือ ขอสินเชื่อบ้านแลกเงิน เป็นหนึ่งในบริการสินเชื่อที่ช่วยให้ผู้ที่มีบ้านหรือคอนโดที่ปลอดภาระหนี้ หรือกำลังผ่อนอยู่ สามารถนำบ้านที่มีมูลค่ามาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินจากธนาคารได้ การกู้สินเชื่อบ้านแลกเงินเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเงินก้อนเพื่อใช้ในการจัดการกับหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสูงหรือลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้ในอนาคต หรือแม้กระทั่งการใช้เงินในการซ่อมแซมต่อเติมบ้าน  หรือค่าใช้จ่ายในครอบครัว

จุดเด่นของสินเชื่อบ้านแลกเงิน
สินเชื่อบ้านแลกเงินนั้นมีจุดเด่นอยู่ที่การให้วงเงินสูง เนื่องจากมีหลักประกันจากบ้านที่ผู้ขอกู้ถือครอง โดยไม่ต้องใช้เอกสารหรือหลักประกันอื่นๆ เพิ่มเติม อีกทั้งยังมีดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าการกู้สินเชื่อบุคคลทั่วไป ช่วยให้คุณสามารถผ่อนชำระได้สะดวกและยืดหยุ่นกว่า โดยวงเงินที่ได้รับสามารถนำไปใช้ได้หลากหลายตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการรวมหนี้หลายๆ ก้อนมาไว้ในที่เดียวกัน หรือแม้กระทั่งการเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ เปิดร้านใหม่ หรือเสริมสร้างการลงทุนต่างๆ ซึ่งจะทำให้การดำเนินชีวิตในระยะยาวสะดวกขึ้น
การกู้สินเชื่อบ้านแลกเงินจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเงินก้อนใหญ่ แต่ไม่ต้องการพึ่งพาการกู้เงินจากแหล่งอื่นๆ ที่อาจมีดอกเบี้ยสูง หรือเงื่อนไขที่ไม่ค่อยยืดหยุ่น



เปลี่ยนบ้านเป็นเงินด้วย สินเชื่อบ้านแลกเงิน จากทีทีบี
หากคุณกำลังมองหาวิธีการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน หรือจัดการภาระการเงินในชีวิตประจำวัน ทีทีบีมีทางเลือกที่ตอบโจทย์คุณได้อย่างดี ด้วย สินเชื่อบ้านแลกเงินจากทีทีบี ที่พร้อมให้คุณใช้บ้านของคุณเป็นหลักประกันในการขอกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและเงื่อนไขที่โดดเด่น ดังนี้

ดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อบุคคล: การขอสินเชื่อบ้านแลกเงินจากทีทีบีมีอัตราดอกเบี้ยที่คงที่ใน 3 ปีแรก เริ่มต้นที่ 5.45% ต่อปี ซึ่งทำให้ผู้ขอสินเชื่อสามารถบริหารจัดการการเงินได้ดียิ่งขึ้น
วงเงินอเนกประสงค์: สินเชื่อนี้สามารถใช้รวบหนี้ ต่อเติมบ้าน หรือเปิดร้านได้ตามต้องการ ช่วยให้ผู้ขอสินเชื่อสาม :cheer:ารถบริหารจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผ่อนต่อเดือนเบา ๆ: การขอสินเชื่อบ้านแลกเงินสามารถผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 30 ปี ทำให้เจ้าของบ้านสามารถวางแผนการเงินได้อย่างยั่งยืน
รับเงินก้อนโดยไม่เสียบ้านไป ด้วยการนำบ้านเข้าธนาคาร ผู้ขอสินเชื่อสามารถรับเงินก้อนใหญ่ได้โดยที่บ้านยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่ต้องย้ายออก

สินเชื่อบ้านแลกเงินจากทีทีบีเหมาะสำหรับผู้ที่มีบ้านหรือคอนโดที่ปลอดภาระหนี้แล้ว หรือแม้แต่ผู้ที่ยังคงผ่อนสินเชื่อบ้านอยู่ก็สามารถข้อกู้ได้ ถือว่าเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยเสริมสภาพคล่อง จัดการกับเงินก้อนโต เพราะภาระดอกเบี้ยที่ต่ำกว่ากู้สินเชื่อบุคคล ผ่อนต่อเดือนสบาย ช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้คล่องตัวยิ่งขึ้น

*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว : สินเชื่อบ้านแลกเงิน  อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 6.496% - 8.158%ต่อปี • อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน =7.705% ต่อปี ณ วันที่ 1 พ.ย. 67 • อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ •เงื่อนไขการสมัคร และอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

5
อาการปวดคอเป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสม การใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานาน หรือการนอนในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง อาการปวดคออาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยในบางครั้ง แต่หากปล่อยไว้ก็สามารถกลายเป็นปัญหาที่เรื้อรังและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้ ดังนั้นการรู้วิธีการแก้ปวดคออย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยบรรเทาอาการและลดความเสี่ยงที่อาการจะกลับมาเป็นซ้ำ ในบทความนี้จะนำเสนอวิธีแก้ปวดคอที่ทั้งง่ายและได้ผล เพื่อให้คุณสามารถดูแลตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ



1. การปรับท่าทางการนั่งและยืน
ท่าทางการนั่งที่ไม่ถูกต้อง ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดคอ โดยเฉพาะเมื่อเรานั่งทำงานที่โต๊ะคอมพิวเตอร์หรือใช้สมาร์ตโฟนเป็นเวลานาน การนั่งที่หลังโค้งหรือนั่งในท่าทางที่ไม่เป็นธรรมชาติจะทำให้เกิดความตึงเครียดในกล้ามเนื้อคอและส่วนหลังได้

วิธีแก้:
นั่งให้หลังตรง: หากนั่งทำงานที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ ควรปรับเก้าอี้ให้เหมาะสมกับความสูงของโต๊ะเพื่อให้กระดูกสันหลังและคออยู่ในท่าทางที่ถูกต้อง ควรยืดตัวตรงโดยไม่โน้มตัวไปข้างหน้า
การตั้งจอคอมพิวเตอร์: จอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ในระดับที่สามารถมองได้โดยไม่ต้องก้มคอหรือเงยคอขึ้น
การเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ: หากทำงานในท่าทางเดิมเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนท่าทางหรือยืดเหยียดกล้ามเนื้อบ่อยๆ เพื่อลดความตึงเครียด
การยืนให้ตรง: เมื่อยืน ควรพยายามให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลังและไม่โน้มตัวไปข้างหน้า

2. การยืดเหยียดกล้ามเนื้อคอ
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อคอเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดคอได้ดี

ท่าบริหารกล้ามเนื้อคอ:
การหมุนคอ: นั่งหรือยืนตัวตรง แล้วหมุนคอไปทางซ้ายและขวาช้าๆ ครั้งละ 5-10 รอบ การหมุนคอจะช่วยคลายความตึงเครียดในกล้ามเนื้อและกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
การโน้มคอลง: ก้มคอลงไปข้างหน้าให้คางชิดกับอก ค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที แล้วค่อยๆ ยืดคอขึ้น ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
การยืดคอไปข้างข้าง: โน้มคอไปทางซ้ายหรือขวาช้าๆ ค้างไว้ประมาณ 10 วินาทีแล้วสลับข้าง ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
การยืดคอด้วยมือ: ใช้มือข้างหนึ่งจับคอลงในทิศทางที่ต้องการ จากนั้นดึงเบาๆ เพื่อยืดกล้ามเนื้อคอให้มากขึ้น

หน้า: [1]