CSLSEO.com ให้บริการ seo รับทำ seo ติดอันดับกูเกิล
SEO สามตัวอักษรนี้ น่าจะเป็นคำที่หลายคนคุ้นเคยหรือรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีเว็บของตัวเองหรือรับทำเว็บก็ตาม เพราะนอกจากจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยทำให้ยอดจัดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้นได้แล้ว SEO ยังมีความสำคัญกับเว็บมากชนิดที่เรียกได้ว่า ถ้าเว็บไซต์ไหนไม่มี หรือไม่ได้ทำ SEO ไว้ เว็บนั้นอาจต้องเตรียมปิดตัวลงในอีกไม่นานก็เป็นได้
SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การปรับปรุงเว็บ (ทั้งหมด) ให้มีความพอเหมาะพอดีในการติดอันดับการค้นหาของเครื่องมือค้นหายอดฮิตอย่าง Google แต่การที่จะส่งเสริมให้เว็บของเราไต่ขึ้นไปอยู่อันดับแรกๆ ในหน้าการทำการค้นหาหน้าแรกของ Google ได้นั้น มีความจำเป็นที่่จะอยากได้ปรับปรุงเว็บในหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็น Content (บทความ), ความรวดเร็วในการโหลดหน้าเว็บ หรือแม้แต่โครงการของเว็บ ก็มีผลด้วยเช่นกัน
ก่อนอื่นลองจินตนาการตามนะครับว่า ถ้าสมมุติว่า คุณอยากไปเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่ และเข้าไปค้นหาข้อมูลบน Google โดยใช้คำว่า “ที่พักเชียงใหม่” ซึ่งเป็น Keyword ในการค้นหา ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาก็คือ รายชื่อของของเว็บไซต์ ที่มีความสอดคล้องกับ Keyword ที่ใช้ทำการค้นหาไป ที่นี้พอจะนึกภาพออกใช่ไหมครับว่า ถ้าเว็บไซต์ของเรา ถูก Google นำไปเสนอเป็นข้อมูลในการทำการค้นหาลำดับแรกๆ ให้กับผู้ที่ค้นหา ก็จะยิ่งทำให้เว็บไซต์ของเรามีปริมาณคนเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้นด้วยนั้นเอง
อย่างที่ได้กล่าวไปว่า SEO สามารถช่วยเพิ่มปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเราให้มากขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีคนเข้ามาบนเว็บไซต์ของเรามากเท่าไร ความน่าจะเป็นที่เราจะจำหน่ายของก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อ! ลองมองดูโลกของข้อเท็จจริงที่ว่า ถ้าหากเราเปิดร้านขายของในแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยม ที่มีผู้คนขวักไขว่ ร้านค้าของเรา ก็จะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมมากแค่ไหน และความน่าจะเป็นที่เราจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ก็มีมากตามไปด้วย ซึ่งโลกของอินเตอร์เน็ตก็เช่นกัน ถ้าเว็บไซต์ของเราถูกจัดอันดับให้แสดงผลอยู่ในอันดับแรกๆ ของผลการค้นหา นั้นหมายถึง “ทำเลทอง” เพราะจะมีผู้เข้าชมคลิกเข้าสู่เว็บของเราเยอะแยะ และโอกาสที่จะเปลี่ยนให้ผู้เข้าชมเหล่านั้นกลายเป็นลูกค้าก็มีมากตามไปด้วย
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การทำ SEO กับเว็บไซต์ในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่สำคัญ และมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง จนน่าจะเป็นสิ่งตัดขาดจากกันไม่ได้ซะแล้ว โดยเฉพาะคนที่ต้องการสร้างธุรกิจร้านค้าออนไลน์บนเว็บไซต์ด้วยแล้ว ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับ SEO เป็นอย่างมาก เพราะสามารถทำให้ธุรกิจคุณดังและปังได้ทันทีในพริบตา
ในเมื่อก่อนร้านค้าออนไลน์ บริษัท หรือหน่วยงาน มีเว็บเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือเท่านั้น โดยไม่ได้คิดถึงการใช้ประโยชน์ของเว็บไซต์อย่างเต็มที่ ทำให้ไม่เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนทำเว็บไซต์ แต่ในสมัยนี้นี้ทุกๆ คนสามารถเข้าถึงเครือข่ายเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้อย่างแพร่หลาย ทุกที่ทุกเวลา ทำให้ร้านค้า บริษัทหรือองค์กรต่างๆ เห็นคุณค่าถึงความสำคัญของการทำเว็บเพื่อเปิดช่องทาง ทางการค้ามากขึ้น จึงทำให้ยุคนี้มีเว็บเกิดขึ้นเยอะแยะ การที่ทุกๆ คนจะจดจำ URL (Uniform Resource Locator) ของแต่ละเว็บนั้น ดูจะเป็นเรื่องที่ยากซะเหลือเกิน จึงมีความจำเป็นต้องพึ่ง Search Engine เข้ามาช่วยในการสร้างความจดจำ และง่ายต่อการเข้าถึงเว็บไซต์
Google Search คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต โดยผู้ใช้จะต้องกรอกคำสำคัญ (Keyword) ในการทำการค้นหา จากนั้น Search Engine จะแสดงผลการค้นหาออกมา เป็นเว็บหลายๆ เว็บไซต์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Keyword นั้น นั่นก็หมายความว่า เว็บที่แสดงผลในอันดับแรกๆ ของ Google Search ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดทั่วโลกอย่าง Google ก็จะมีคนคลิกเข้าไปดูเว็บนั้นเป็นจำนวนมาก เมื่อมีคนเข้าชมเว็บเป็นจำนวนไม่น้อย จึงทำให้เกิดประโยชน์ตามมามากมาย เช่น การจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการ การขายโฆษณา การโปรโมทเว็บไซต์ เป็นต้น ในทางกลับกัน ถ้าคุณมีเว็บ แต่เว็บไซต์ของคุณไม่ได้แสดงผลอยู่ใน Google Search แล้วล่ะก็ เว็บของคุณก็ไม่ต่างอะไรกับเว็บร้าง ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เลย ด้วยเหตุผลนี้เอง เว็บไซต์ต่างๆ ย่อมต้องการให้เว็บของตัวเอง ติดอยู่ในอันดับต้นๆของ Google Search จึงเป็นที่มาของการทำ SEO นั่นเอง
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หมายถึง การจัดทำหรือปรับปรุงเว็บให้แสดงผลเป็นอันดับต้นๆ ของการค้นหาใน Google Search ใน Keyword ที่เหมาะสมและตรงตามจุดมุ่งหมายของเว็บ เพื่อทำให้อยู่ในระดับสายตา และสามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
SEO คืออะไร? ดันเว็บติดอันดับกูเกิล ไม่ยากอย่างที่คิด
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่เน้นการปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาต่าง ๆ ให้พึงพอใจระบบผลการค้นหาของ Google หรือที่เราเรียกกันว่า Google Search (Google Search อื่นๆ นอกจาก Google เช่น Yahoo, Bing เป็นต้น)
เพื่อทำให้หน้าเว็บธุรกิจของเราติดหน้าแรกของผลการค้นหา ส่งผลให้เพิ่มการมองเห็นแบบ Organic Traffic (ยอดเข้าชมเว็บโดยไม่มีรายจ่าย) เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และประโยชน์อีกมากมายที่ธุรกิจคุณควรเริ่มทำ SEO ซึ่งข่าวดีของคนที่สนใจการทำ SEO คือ มันฟรี!! แต่จะต้องเข้าใจกันก่อนว่าการทำ SEO ให้ติดหน้าแรกนั้นต้องใช้เวลาระดับหนึ่ง
ซึ่งบางท่านอาจจะใช้เวลาถึง 6 เดือน หรือบางท่านก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่การันตีว่าหากคุณได้พื้นที่อันดับ 1 มาครองบนหน้าผลการค้นหาของ Google ยอดจัดจำหน่ายของคุณจะสูงขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว และสิ่งสำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอ เพราะเป้าประสงค์ของการทำ SEO ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับเท่านั้น แต่รวมถึงการรักษาอันดับให้คงไว้ที่เดิมและไม่ทำให้ตกอันดับ ถ้าหากเราหยุดทำ SEO เมื่อไหร่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเว็บไซต์คู่แข่งของเราจะเข้ามาแทนที่
แล้ว SEO ที่เรากล่าวถึงนี้คืออะไรกันแน่ มีกระบวนการการทำงานอย่างไรบ้าง หากท่านใคร่รู้ ทีม CSLSEO จะมาคุยให้ฟัง
ทำความเข้าใจ Google Search เหตุผลที่หลายธุรกิจต้องการทำ SEO
เมื่อเราอยากจะทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ เราจำเป็นจะต้องรู้เสียก่อนว่า Google Search มีการปฏิบัติงานยังไง ซึ่งเป็นเหมือนปัจจัยหลักของกลยุทธ์การตลาดในครั้งนี้
หน้าที่หลักของ Google Search อย่าง Google คือการค้นหาข้อมูลที่มีอยู่มากมายก่ายกองบนโลกอินเทอร์เน็ตมาจัดเรียงอันดับความสัมพันธ์ เพื่อทำให้ผู้ค้นหา (Searchers) เกิดความพอใจต่อการทำการค้นหามากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วคนที่จะเข้ามาใช้ Search Engine นั้นมีจุดหมายปลายทางเพื่ออยากได้หาผลลัพธ์ให้กับอะไรสักอย่าง โดยใช้เวลาในการค้นหาน้อยที่สุด จึงทำให้ความเร็วของผลการค้นหา, ความสัมพันธ์ของบทความ, ประสบการณ์การใช้งาน และความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งสำคัญเพื่อตอบสนองต่อความปรารถนาของยูสเซอร์
แล้ว Search Engine ใช้วิธีอะไรในการจัดเก็บข้อมูล และจัดเรียงลำดับเว็บ? เราสามารถแบ่งการทำงานของ Search Engine ได้เป็น 3 กระบวนการด้วยกัน คือ
1. Crawling (การเก็บข้อมูล): กรรมวิธีการทำการค้นหา ที่จะส่ง Bot (Crawler or Spider) ท่องไปตามหน้าเว็บต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลตั้งแต่หน้าเว็บ, URLs, หัวข้อ, บทความ, รูปภาพ , วิดีโอ และอื่นๆ จนทั่วเว็บไซต์ เมื่อสแกนเว็บไซต์หนึ่งจนเสร็จ ตัว Bot นี้จะทำการค้นหาลิงค์ต่าง ๆ ในหน้าเว็บไซต์ที่เราได้ทำการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์อื่นเอาไว้ และเข้าไปในเว็บนั้นเพื่อทำการสแกนต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Search Engine สามารถเก็บข้อมูลสดใหม่บนอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว
2. อินเด็กซ์ing (ทำดัชนี): นับจากทำการสแกนข้อมูลเว็บจนเสร็จสิ้น ระบบจะทำการ Index ing หรือการเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในคลัง ซึ่งการ Index เปรียบเสมือนห้องสมุดที่รวบรวมเว็บไซต์ทั้งหมดไว้ในที่เดียว ทุกเว็บไซต์ที่อยากได้แสดงอยู่บนผลการค้นหา จำเป็นจะต้องผ่านระบบการ Index ing ของ Search Engine เสียก่อน
3. Ranking (ค้นหาและจัดอันดับ): สุดท้ายเมื่อผู้ค้นหาเริ่มทำการค้นหาข้อมูล Google Search จะทำการหาข้อมูลเว็บไซต์ที่มีความสอดคล้องมากที่สุด จากคลัง Index แล้วนำมาแสดงผลให้ผู้ค้นหาเห็นในหน้าผลการค้นหา ซึ่งอันดับที่เราเห็นในหน้าผลการค้นหาตอนเรา Search เราเรียกกันว่าการ Ranking ซึ่งปัจจัยในการจัดอันดับของ Google ประกอบด้วยหลายอย่างด้วยกัน เช่น Keyword, URLs, ความน่าไว้วางใจและ อื่นๆ
ความสามารถ SEO ขั้นพื้นฐาน
เริ่มสร้างเว็บไซต์ขึ้นหน้าแรก Google เพียง 4 กระบวนการ
1. ทำการค้นหา Keyword ที่ใช่สำหรับธุรกิจคุณ
เพื่อเชื่อมต่อการเข้าถึงระหว่างเว็บ และผู้ค้นหา เรามีความจำเป็นจะต้องมี “Keyword” (คีย์เวิร์ด) เป็นเหมือน GPS นำทางผู้ค้นหามาเจอเว็บของเรา หากเราสังเกตเมื่อเราใส่ คำ หรือวลี อะไรก็ตามลงในช่องการทำการค้นหา เราจะเห็นหัวข้อที่มีคำเดียวกับการค้นหาของเราเสมอ
แบบอย่างจากในภาพ เมื่อเราลอง Search คำว่า “SEO คืออะไร” ซึ่งก็คือ Keyword ของเรา หน้าผลการค้นหาของเราจะแสดงเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้อง และเว็บที่มีโอกาสจะตอบสนองความปรารถนาของเรามากที่สุด เว็บชั้นนำต่าง ๆ ที่แสดงอยู่หน้าแรกก็จะนำ Keyword (SEO คืออะไร) เข้าไปอยู่ในเนื้อหา และหัวข้อ (กรอบสีเขียว) เพื่อทำให้ Google เข้าใจว่าคอนเทนต์ของเรามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คนกำลังทำการค้นหา
ซึ่งหากจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ Keyword เหมือนความต้องการของผู้ค้นหานั่นเอง ส่วนคนทำคอนเทนต์หรือแบรนด์อย่างเราก็ต้องทำให้เว็บของเราตอบสนองความอยาก โดยการใช้ Keyword ด้วยเหตุนี้หากต้องการทำให้เว็บติดอันดับหน้าแรกของ Google การทำการค้นหา Keyword ที่มีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
การค้นหา Keyword เป็นเพียงขั้นตอนแรกของการทำ SEO เพื่อให้ยูสเซอร์สามารถเจอเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้นเท่านั้น จนทำให้เกิดเป็น Organic Traffic
2. ปรับโครงสร้างเว็บ (Structure) เข้าใจง่ายทั้งยูสเซอร์และ Search Engine
ภายหลังเมื่อเราสามารถนำยูสเซอร์เข้ามาเว็บไซต์เราได้แล้ว เราต้องเชื่อมั่นว่าเว็บไซต์ของเรามีโครงสร้างที่ดีพอจะทำให้ผู้ค้นหาชอบ และอยู่ในหน้านั้นๆ ต่อเป็นเวลานาน เพราะ Organic Traffic ที่เข้ามาจะกลายเป็น High Quality Traffic (คงอยู่เว็บเป็นระยะเวลานานจนสามารถเปลี่ยนเป็นยอดขาย) หรือ Poor Quality Traffic (เข้ามาและกดออกจนทำให้เกิด Bounce Rate หรือไม่เกิดยอดจัดจำหน่าย) จะขึ้นอยู่กับความน่าใช้งานของเว็บเรา
ทั้งนี้การดีไซน์โครงสร้าง SEO เว็บไซต์ที่ดีจะส่งเสริมให้ Google Search Bot ทำงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้ระบบ Bot สามารถเข้าถึงและ Index ข้อมูลบนเว็บได้อย่างรวดเร็ว โครงสร้างของเว็บไซต์จะเป็นคล้ายผู้นำทัวร์ให้ Bot ของ Search Engine และ ผู้ค้นหาได้พบสิ่งที่ต้องการได้อย่างสะดวก ส่งผลให้เกิด UX (User Experience) หรือประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีต่อผู้ค้นหาเพิ่มมากขึ้น (UX เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้ใช้งานอยู่เว็บเรานานขึ้นและช่วยในเรื่อง Ranking)
หนึ่งแบบอย่างของการสร้างเว็บไซต์ SEO ที่ดีคือ การแบ่งหมวดหมู่และหัวข้อของคอนเทนต์ต่างๆ อย่างชัดเจนเพื่อความง่ายต่อการค้นหา ซึ่งจากรูปภาพด้านบนจะสังเกตได้ว่าเว็บนี้ มีหัวข้อใหญ่อยู่ด้านซ้ายมือ และเมื่อเข้ามาจะเจอกับหัวข้อย่อยต่างๆ ทำให้การค้นหาเนื้อหาที่ต้องการสำหรับผู้ค้นหาสามารถทำตามได้ง่าย ทั้งนี้หากเราสามารถใส่ Keyword เข้าไปในแต่ละหัวข้อได้ ก็จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ของเรา แต่ Keyword นั้นจำเป็นต้องสอดคล้องกับเนื้อหาด้วย หากใส่ Keyword แล้วคำดูแปลก หรือดูเหมือนตั้งใจมากจนเกินไปจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
นอกจากนั้น การสร้างเว็บที่มีประสิทธิภาพยังมีวิธีที่หลากหลาย เช่น การเพิ่มความเร็วของเว็บ, การทำ Sitemap, การปรับ URLs เป็นต้น จำเอาไว้ว่าสิ่งที่สำคัญที่เราควรนึกถึงอยู่ตลอดเวลาเมื่อต้องการทำ SEO เว็บไซต์นั้นก็คือ ประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งาน (User Experience)
3. On-Page Optimization
การทำ On-Page Optimization คือการเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ในหน้าเว็บเพจของเรา เพื่อเชื่อมั่นว่าหน้าเว็บนั้น ๆ สามารถไต่อันดับหน้าผลการค้นหาให้อยู่เหนือฝ่ายตรงข้ามในตลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ Tittle Tag, Heading, Alt-Text สำหรับรูปภาพ และ Meta Description เป็นต้น ซึ่งส่วนสำคัญของการทำ On-Page Optimization ให้สำเร็จนั้นคือ คุณภาพเนื้อหา และ Keyword เช่นการเขียนบล็อก และปรับบทความเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อ SEO อย่างสูงสุด
เราสามารถเริ่มการทำ On-Page Optimization จากการปรับ Title Tag, Meta Description, Heading, Alt Text, URLs โดยการสอด Keyword เข้าไปในส่วนต่างๆ เป็นต้น
- Title Tag: หัวข้อ Content ที่เราต้องการให้แสดงอยู่บนหน้าผลการค้นหาของ Google เราควรใช้เวลาในการคิดชื่อหัวข้อให้น่าสนใจ เพราะจะส่งเสริมให้เกิดปริมาณคลิกเข้าเว็บไซต์มากที่สุด
- Meta Description: คำอธิบายสั้นๆ เพียง 140 ตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนหน้าผลการค้นหาของ Google เป็นคำอธิบายเพิ่มมากขึ้นจาก Title Tag ว่าหากผู้ค้นทำการคลิ๊กเข้ามาหน้าเว็บไซต์เขาจะเจอคอนเทนต์แบบไหน Meta Description ควรเป็นบทความพูดถึงเหตุผลว่า ทำไมผู้ค้นหาควรจะเข้ามาเว็บของเรามากกว่าเว็บฝ่ายตรงข้าม
- Heading: หัวข้อต่างๆ บนหน้าเว็บเพจ ซึ่งแบ่งออกเป็น H1 - H6 ซึ่ง H1 แสดงถึงหัวข้อหลักของคอนเทนต์ เราควรมีหัวข้อหลักเพียงหนึ่งหัวข้อเท่านั้น เพื่อไม่ทำให้เกิดการงงๆของยูสเซอร์และ Search Engine Bots ส่วน H2-H6 แสดงถึงหัวข้อย่อยตามคิว
- Alt-Text: Keyword ที่เราสามารถแทรกสอดเข้าไปในรูปภาพ เพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นการทำการค้นหา Keyword จากรูปภาพ เคยไม่เข้าใจไหมว่าหน้าผลการค้นหาแบบรูปภาพของ Google นำข้อมูลอะไรมาดูว่าแต่ละภาพ มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราค้นหา ผลลัพธ์ก็คือ Alt-Text หรือ Keyword ในรูปภาพนั่นเอง
- URLs: เราสามารถปรับลิงค์ URLs บนเว็บไซต์ให้มีความสัมพันธ์กับคีย์เวิร์ดได้จากการแทรกสอด Keyword ลงไปในส่วนด้านหลังชื่อ Domain หลัก
4. Off-Page Optimization
ในทางตรงกันข้าม Off-Page Optimization คือการเพิ่มประสิทธิภาพ SEO นอกเว็บไซต์ ซึ่งหมายถึงการที่มี Link ของเราจากเว็บอื่น ๆ อ้างอิงถึงเรา หรือพูดถึงเรา เปรียบเสมือนหน้าร้าน ที่มีลูกค้าพอใจสินค้าของเรา พวกเขาก็จะบอกต่อให้ผู้อื่นได้รับรู้และนำเสนอให้เข้ามาที่ร้านของเรา การทำ Off-Page Optimization จะอยู่ในกฎเดียวกัน ยิ่งมีเว็บไซต์ข้างนอก Link เข้ามาหาเว็บไซต์ของเรามากเท่าไหร่ ความน่าไว้วางใจที่ Google มีต่อเว็บไซต์ของเราจะมากขึ้นเท่านั้น
หัวใจหลักของการทำ Off-Page Optimization คือการสร้าง Link ที่มีประสิทธิผลเชื่อมโยงกลับมาหาเว็บไซต์ของเรา หรือที่เรากันว่า Backlink นั่นเอง
การทำ Backlink ที่มีประสิทธิผลมากที่สุดคือการเขียนเนื้อหาที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้งานมากจนเป็นที่พูดถึง และยูสเซอร์จะนำ Link ของเราไปอ้างอิงด้วยตนเอง ซึ่งวิธีนี้คือการทำ Backlink แบบธรรมชาติ แต่การจะส่งเสริมให้ Content ของเราถูกบอกต่อในโลกที่มีคอนเทนต์อย่างมากมายก่ายกองในอินเตอร์เนต เป็นเรื่องที่ยากมากๆ หากเราไม่เจ๋งจริง
ฉะนั้น เราสามารถเริ่มการสร้าง Backlink ได้จากการเขียน Content ลงบนเว็บบอร์ด หรือกระทู้ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเราและสร้าง Link กลับมาหาเว็บ อีกทั้งวิธีหนึ่งที่เราคงจะสนิทสนมกันดีคือ วิถีทาง Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Youtube, Twitter etc. แชร์คอนเทนต์ของเราผ่านแนวทางเหล่านี้สามารถเพิ่ม Organic Traffic ได้เป็นอย่างดี
http://thaiads.online/