พอดีเห็นว่ามีดราม่าเรื่องนี้กันหนาหูพอสมควรเลยจะมาลองเขียนเรื่องเกี่ยวกับปัจจัยการตั้งราคาดังกล่าว ในความคิดเห็นของผมบ้างละกันนะครับ [ไม่ได้ใช้หลักการใดๆทั้งสิ้นในการเขียนนะครับ ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ]
ทำความเข้าใจกันก่อน
- Subaru XV ทำการประกอบ(Assembly)ในประเทศมาเลเซีย โดยทำการนำเข้าชิ้นส่วนมาจากทางประเทศญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่(ประมาณ80%) โดยมีชิ้นส่วนบางชิ้นที่ผลิตในมาเลเซีย(ยางรถยนต์ กระจก เบาะ)เพื่อให้เข้าเกณฑ์การประกอบในประเทศนั้นๆ ดังนั้นตัวถัง/เครื่องยนต์/เกียร์/ช่วงล่าง นำเข้ามาจากญี่ปุ่นแน่นอน
[ตัวอย่างที่ยกให้ฟังง่ายๆ...เป็นกรณีMercedes / BMW ตัวที่ประกอบในประเทศไทย ก็ได้ทำการประกอบด้วยวิธีดังกล่าวเช่นกัน]
ปัจจัยด้านการผันผวนของค่าเงินเยน
- ย้อนกลับไปปี 2012 ในขณะนั้นค่าเงินเยนสูงมากเป็นประวัติการณ์ตีไว้ราวๆที่ใกล้เคียง 40 บาท / 100 เยน
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2012/02/E11750291/E11750291.html- ย้อนกลับไปในปี 2013 ขณะนั้นค่าเงินเยนอยู่ที่ประมาณ 33-35 บาท / 100 เยน (และช่วงปลายปีก็อ่อนลงอย่างหนัก)
http://fundmanagertalk.com/investment-talk-yen-yuan/- ในปีปัจจุบัน 2014 ตอนนี้ค่าเงินอยู่ที่ประมาณ 27.5 บาท / 100 เยน
ในส่วนของความผันผวนของค่าเงิน...หากมองในความเห็นของผู้บริโภคต้องถือว่าทางบริษัทก็ใจกล้าในระดับนึงที่ได้ทำการลดราคาค่ารถลงไปตามความอ่อนตัวของค่าเงินเยน(ถ้าเขาอ้างเหตุผลนี้เป็นเหตุผลจริง) เนื่องจากราคาของรถยนต์ได้ลดลงตามมูลค่าค่าเงินใกล้เคียงกันอย่างมีนัยสำคัญ
- มีกรณีที่มีคนพูดว่าทำไมค่ายอื่นไม่ลดราคาตามด้วยละ >> ย้อนกลับไปดูข้อแรกครับSUBARU XV ประกอบด้วยชิ้นส่วนจากJapanร้อยละ80 แต่รถค่ายที่ผลิตในประเทศไทยส่วนมากจะใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศไทยเองร้อยละ60%-80%(อย่างToyotaมีแม้กระทั่งโรงงานผลิตเครื่องยนต์ในประเทศ) [คันที่เข้าเค้าที่สุดใกล้เคียงในกรณีนี้มากที่สุดคือเจ้าToyota Prius ที่นำเข้าชิ้นส่วนมาทำการประกอบภายในประเทศเหมือนกับรถรุ่นพี่ของมันอย่างเจ้าTOYOTA Wish]
- กรณีดังกล่าวนี้ถ้าผมเป็นลูกค่าเก่าก็ช็อคกับราคาตั้งพอสมควร(จริงๆไม่ควรจะเป็นการลดราคาตั้ง ควรจะออกเป็นแคมเปญลดเพิ่มเติมเสียมากกว่า)
ยอดสั่งผลิตและประกอบรถยนต์
- จากข้อมูลอ้างอิงในหลายๆแหล่งโรงงานของตันจงในมาเลเซียสามารถผลิตเจ้าXVได้ประมาณปีละ 5000 คัน ดังนั้นทางบริษัทต้องทำการรักษายอดขายในภูมิภาคนี้ให้ได้ใกล้เคียงกับตัวเลขความสามารถในการผลิตรถยนต์ของทางโรงงาน(ผลิตได้5000คันเนี่ยต้องบอกเลยว่าโคตรน้อยเลยแหละ) ดังนั้นเป็นไปได้ยากมากในการที่ทางโณงงานจะสั่งชิ้นส่วนอะไรประหลาดๆเข้ามาทำการStockและผลิต(จะพูดว่าโรงงานมันเล็กก็คงไม่ผิด) เลยเป็นที่มาของSubaru XV ที่สามรุ่นย่อยไส้ในนี่เหมือนกันหมดไม่มีอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ เพราะง่ายต่อการStockชิ้นส่วนในการประกอบรถยนต์ รวมถึงง่ายต่อไลน์ประกอบรถยนต์อีกด้วย(ผลิตทีเดียว ค่อยมาเปลี่ยนข้างนอกเอาทีหลัง)
ความสามารถในการแข่งขันของSubaru
- ใครเคยเป็นแฟนซูบารุจะเข้าใจได้ว่า10ปีก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าเป็นยุคมืดของซูบารุประเทศไทยได้เป็นอย่างดี หลังจากยอดขายถล่มทลายรุ่นสุดท้ายในประเทศคือImpreza รหัสตัวถังGC ที่ขายดีพอสมควรในยุคนั้น....พอเลยยุคนั้นมาก็มืดสนิท เพราะรถต้องนำเข้ามาจากญี่ปุ่นทั้งคันเจอกับอัตราภาษีมหาโหดเข้าไป.....ยกตัวอย่าง Impreza GD เครื่อง1600cc คันละ 1.6 ล้านบาท(ใครจะซื้อ) WRX STi 3.8 ล้านบาท ยอดขายรวมทั้งปีของบริษัทไม่ถึงร้อยคัน
- ยุคลืมตาอ้าปาก.....กลับมาในปี 2012 ซูบารุได้เกิดไอเดียบรรเจิด(หรือตันจงบรรเจิดไม่รู้) ขยับขยายโรงงานประกอบรถยนต์จากที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่น มาทำการประกอบที่ต่างประเทศ....โดยมีฐานผลิตคือมาเลเซียทำการปั๊มเจ้าXVเข้ามาขายในภูมิภาคนี้....ซึ่งยอดขายในไทยกลับถล่มทลายสถิติของบริษัทอย่างไม่เคยเป็นไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้มีศูนย์บริการเกิดขึ้นมาอีกหลายแห่ง
- แต่เนื่องจากตามหลักเศรฐศาสตร์....Demandน้อย Supplyก็เลยต้องน้อย ดังนั้น Supplyน้อยจึงต้องมีราคาแพงกว่าพวกที่มีความต้องการสูง.... ยอดขายในไทยปีแรกอยู่ที่ประมาณ 3000 คัน ซึ่งถ้านับกับรถในตลาดก็ถือว่าน้อยมาก(น้อยกว่าViosต่อเดือน หรือเท่ากับยอดขายCamry/accordเพียงสองเดือน) ราคาจึงถือว่ายังกระโดดเมื่อเทียบกับคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน
BRANDING
- ทำความเข้าใจกันก่อน.....บินข้ามไปยังประเทศญี่ปุ่น SUBARU ก็ถือว่าเป็นโรงงานผลิตรถขนาดกลาง(ห่างชั้นกับสามยักษ์แห่งญี่ปุ่นอยู่เยอะ Toyota Honda Nissan ไหนจะมียักษ์แห่งฮิโรชิม่าอย่างเจ้าMazdaขวางคออีก) ที่มีจุดเด่นของตัวเองคือระบบขับเคลื่อนแบบAWD แต่ในประเทศญี่ปุ่นก็ถือว่าเป็นรถบ้านๆคันนึงเหมือนกัน
- ส่วนในประเทศไทย ยุคก่อนถือเป็นรถอีกระดับเพราะว่าถ้าไม่รู้จักว่าSubaruเป็นรถกระป๊อ ก็ต้องรู้จักSubaruว่าเป็นรถซิ่งด้วยเรือธงอย่างเจ้าImpreza
- การเปิดตลาดใหม่ในประเทศไทยคนเลยเข้าใจว่าเป็นรถระดับพรีเมี่ยม แต่ในความเป็นจริงมันเป็นไม่ใช่เลย.....ความจริงตัวมันเองก็ไม่ได้ต่างจากรถยี่ห้อเดียวกับบ้านเกิดมันเท่าไหร่ เพียงแต่บริษัทอื่นเขามีสายการผลิตและภาษีในไทย ส่วนซูบารุ....ใส่เรือข้ามทะเลมาขายอย่างเดียว(เราเลยมีK-car ราคาล้านสองขาย ด้วยเครื่องยนต์650cc)
Segment
- หากเปรียบมวยแล้ว...ด้วยราคาขายตอนแรกของXV อยู่ที่ 1.35 ล้านบาท มันจึงถูกจับไปชกกับ CR-V แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงเจอชนกับCX-5แบบไม่ต้องลุ้น ทั้งที่จริงแล้วมันเป็นมวยคนละรุ่น เนื่องจากรุ่นพี่ของมัน Forester ดันประกอบญี่ปุ่นค่าตัวจึงพุ่งสูงปรี๊ดไม่อาจลงมาชกกันได้ในราคานี้
- หากจะชกกันให้ถูกรุ่นแล้ว XV จะต้องชกกันกับ HOnda Vezel(HR-V) หรือ CX-3 เท่านั้น
เทียบราคากันแบบตัวต่อตัว
CR-V 2.0 >>> 2.5 ล้านเยน
CR-V 2.4 >>> 2.8 ล้านเยน
http://www.honda.co.jp/CR-V/Mazda CX-5 ราคาตั้งแต่ 2.5 - 3.4 ล้านเยน
https://ssl.mazda.co.jp/purchase/estimate/cx-5?link_id=c5toolbrSubaru XV
2.0i - 2.25 ล้านเยน
2.0i-L - 2.45 ล้านเยน
2.0i Isight - 2.55 ล้านเยน
2.0 Hybrid - 2.57 ล้านเยน
http://www.subaru.jp/xv/xv/็Honda Vezel
1.5 ธรรมดาFF 2.0 ล้านเยน
1.5 Hybrid 4WD 2.7 ล้านเยน
1.5 Hybrid FF 2.5 ล้านเยน
http://www.honda.co.jp/VEZEL/จะเห็นกันชัดๆว่าราคาในญี่ปุ่น Position มันเกือบจะชนกับ HRV แบบตรงๆกันเลยทีเดียว
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหากยังขายXVด้วยราคาปัจจุบันที่ Position รถมันผิดเพี้ยนในอนาคตยังไงก็ไม่รอด.....ยิ่งการมาของ Forester ประกอบในSEAอีกรุ่นนึงจะไม่สามารถทำได้....ยังไงวันที่จะต้องปรับ Position จะต้องมาถึงอย่างแน่นอน ไม่งั้น Forester จะไม่สามารถนำมาตั้งราคาขายที่ 1.4-1.6 ล้านบาท ให้ชนกับพวก CRV / CX5 / X-trail ได้
ส่วนท่านที่เพิ่งซื้อช่วงมอเตอร์โชว์ปลายปี2014 ท่านอย่าเสียใจครับ....ส่วนต่างของท่านกับปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5000-10,000 บาทโดยประมาณ (เห็นตอนนั้นซื้อสดก็ไม่ถึงล้านแล้วนิน่า) แต่สำหรับท่านที่ซื้อแต่แรกต้องขอแสดงความเสียใจจริงๆครับกับราคาในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
อย่าเพิ่งมองว่าการปรับราคาตั้งจะเป็นข้อเสียไปซะหมด มันมีข้อดีแฝงอยู่
- รถจะสามารถจำหนายได้มากขึ้นในตลาด....แปลว่าทางบริษัทสามารถสำรองอะไหล่ได้มากขึ้นตามจำนวนรถที่มีขายในตลาดได้
- จำนวนรถที่เยอะขึ้น ทำให้บริษัทสามารถเปิดตัวแทนจำหน่ายได้มากขึ้น รวมถึงการทำศูนย์บริการได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
- ยังไงรถที่มียอดขายรวม 4000 คัน.....กับที่มียอดขายรวม 10,000 คัน การเก็บสต็อคอะไหล่ก็จะต้องต่างกันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
- รากฐานบริษัทแข็งแรงขึ้นในอนาคตที่จะเปิดตลาดในไทย เพราะยอดขายในไทยสูงขึ้นเขาจะมองว่ามีความน่าลงทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ถึงตอนนี้ผมก็ได้แต่เพียงว่าขอให้ทางบริษัทสามารถแก้ปัญหาเรื่องราคาที่เปลี่ยนไปให้ทางผู้บริโภคส่วนใหญ่พอที่จะรับได้(คือถามว่าตอนนั้นเขากำไรเยอะกว่านี้ไหม ผมตอบตามค่าเงินเยน.....ผมว่าบริษัทน่าจะกำไรพอๆกับที่ขายตอนนี้) ถ้าถามว่าจะให้แจกส่วนลด 50,000-100,000 ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็หวังว่าคงจะมีอะไรมาแจกเพื่อให้ลูกค้าได้สบายใจกันบ้างนะครับ
และคาดหวังว่าในอนาคตทางSubaruและMIT จะมองเห็นความสำคัญของตลาดไทยที่จะมามุ่งลงทุนในประเทศเรามากขึ้นนะครับ......(เห็นมีแว่วๆจะเปิดโรงงานในไทยด้วย)
Line-up ช่วงปีหน้าที่ForesterผลิตในSEAคาดว่าจะเป็นราคาดังนี้
Subaru XV 1ล้านบาท-1.2ล้านบาท
Subaru Forester 1.4 ล้านบาท - 1.6 ล้านบาท
[ภาคฝันลมๆแล้งๆ ถ้าเขาเอาImprezaประกอบไทย]
Impreza 2.0 ราคา 1 ล้านบาท
Impreza WRX 1.5 ล้านบาท
Legacy 1.6 ล้านบาท
สรุปแบบสั้นๆ - ยังไงไม่ช้าก็เร็วผมว่าXVก็น่าจะต้องลดราคามาเป็นราคาที่เห็นในปัจจุบันอย่างแน่นอน เพื่อปรับPositionให้ตรงกับที่สามารถขายได้ รวมถึงเพื่อให้รุ่นอื่นๆสามารถทำตลาดได้ด้วย
ปล.แล้วถ้าเงินเยนขึ้นมันจะขึ้นราคารถไหมเนี่ย!!!